เมื่อเราเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัล ชีวิตประจำวันมีความจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิตแบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ธุรกรรมที่เกิดขึ้นสามารถออนไลน์ได้ทันท่วงทีผ่านแอพพลิเคชั่นไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมการเงินกับธนาคาร การช็อปปิ้ง การรับประทานอาหารสามารถสั่งผ่านเว็บหรือจองคิวผ่านแอพได้ การสื่อสารออนไลน์ทั้งเรื่องส่วนตัวและธุรกิจ
ขณะเดียวกันทางผู้ผลิตเจ้าของเทคโนโลยีต่างๆ ก็เร่งรีบพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาตอบรับผู้บริโภคทั่วโลก ยิ่งทำให้การพัฒนาเป็นไปแบบก้าวกระโดด แต่ละวันจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่รองรับเทคโนโลยีออกมาสู่ตลาดอย่างมากมาย ผลิตภัณฑ์สมาร์ทหรือมีคำว่าอัจฉริยะนำหน้าจะได้รับความสนใจและถูกยอมรับจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในสังคมดิจิทัล แอปเปิล วอทช์ (Apple Watch) หรือนาฬิกาอัจฉริยะ หลังจากที่แอปเปิล วอทช์ ซีรีส์ 1 วางตลาดอย่างเป็นทางการเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา จนถึงปีที่ผ่านมาในงานแนะนำ แอปเปิล วอทช์ ซีรีส์ 3 ทางผู้บริหารของแอปเปิลประกาศความสำเร็จในตลาดอย่างท่วมท้นว่าได้ก้าวมาเป็นผู้ผลิตนาฬิกาอันดับ 1 ของโลกแทนที่ “โรเล็กซ์” ผู้ผลิตนาฬิกาชื่อดังจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เมื่อเราก้าวสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ การพำนักอาศัยย่อมต้องพึ่งพาอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆที่ถูกรวบรวมไว้ภายใต้ Smart Home หรือบ้านอัจฉริยะเป็นตลาดที่น่าสนใจและถูกพัฒนามาอย่างน่าสนใจ
บ้านอัจฉริยะเป็นการควบคุมระบบอัตโนมัติทั้งระบบไฟ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี ตู้เย็น เตาอบ เครื่องซักผ้า ความบันเทิง และระบบรักษาความปลอดภัยประกอบไปด้วยสวิตช์และเซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกันผ่านเกตเวย์สั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
เป้าหมายของบ้านอัจฉริยะแน่นอนว่า จะต้องให้ความสะดวกสบาย ให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ประหยัดพลังงานและสามารถดูแลสุขภาพผู้อยู่อาศัยในบ้านได้
สำหรับผู้ที่กำลังสร้างบ้านใหม่นับเป็นโอกาสอันดีที่จะใช้ระบบสมาร์ทโฮมและผลิตภัณฑ์ แต่สำหรับบ้านเดิมๆก็มีผลิตภัณฑ์รองรับเช่นกัน
ในบ้านเราบรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีกลยุทธ์ใหม่มาเพื่อการแข่งขันในธุรกิจ ทำเลทอง พร้อมส่วนลดและของแถมกลายเป็นกลยุทธ์เดิมๆที่ผู้ประกอบการทุกค่ายใช้กัน เราลอง มาดูว่า Smart Home ที่ผู้ประกอบการได้งัดมาใช้มีอะไรบ้าง และมีแนวโน้มที่น่าสนใจอย่างไร
SAN:DEE Delivery Robot
“แสนสิริ” หนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ผู้ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมสมัยใหม่ๆที่ในวงการอสังหาฯเรียกกันว่า “พร็อพเทค” หรือนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งแสนสิริได้จัดตั้งทีมงาน “Siri LifeTech” โดยกำหนดให้เป็นหนึ่งกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ครบครัน สร้างความสะดวกสบาย ซึ่งแสนสิริก็พยายามเฟ้นหาสิ่งเหล่านี้มาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกบ้านอยู่ตลอด
นวัตกรรมที่มีออกมาให้เห็นก็คือ “หุ่นยนต์น้องแสนดี” (SAN:DEE Delivery Robot) หุ่นยนต์ตัวแรกในเอเชียที่นำมาใช้ในวงการอสังหาริมทรัพย์
โดยหน้าที่ของแสนดีคืออำนวยความสะดวกบริการส่งพัสดุ จดหมาย ถึงหน้าห้องลูกบ้าน โดยถือเป็นการยกระดับเรื่องความปลอดภัยโดยป้องกันไม่ให้คนแปลกหน้าเดินขึ้นไปส่งของโดยตรงให้ลูกบ้าน
หุ่นยนต์แสนดี เกิดจากการที่แสนสิริผนึกกำลังกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) และสตาร์ตอัพจากสิงคโปร์ เพื่อสร้างหุ่นยนต์ทรงน่ารัก และเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งการใน แสนดีทำงานให้มีประสิทธิภาพที่สุด
สำหรับคุณสมบัติของ “แสนดี” คือมีระบบเซ็นเซอร์รอบตัว ทำให้สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ขึ้น–ลงอาคารได้โดยใช้ลิฟต์โดยสารผ่านระบบ WIFI ด้วยตนเอง ซึ่งรูปแบบการออกแบบจะมีช่องใส่ของทั้งหมด 3 ชั้น สามารถส่งของได้ครั้งละ 3 ห้องภายในหนึ่งเที่ยว ซึ่งใช้เวลาในการส่งประมาณ 5–10 นาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 1.5 เมตรต่อวินาที
อีกทั้งแสนดียังรองรับน้ำหนักสิ่งของได้ถึง 80 กิโลกรัม แถมยังอึดทำงานต่อเนื่องได้นานถึง 10 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อทำงานเสร็จระบบจะสั่งการให้กลับมายังที่ชาร์จไฟแบบอัตโนมัติ โดยทุกครั้งที่มีพัสดุส่งมายังโครงการจะถูกบันทึกเข้าสู่ระบบ แล้วแจ้งเตือนลูกบ้านผ่านแอพนี้ ซึ่งลูกบ้านก็สามารถแสดงความจำนงเลือกให้แสนดีนำส่งพัสดุได้เลย
ทั้งนี้ในด้านการเรียกใช้บริการจากแสนดี ลูกบ้านสามารถเรียกผ่านแอพพลิเคชั่น Sansiri Home Service Application อีกหนึ่งในนวัตกรรมที่แสนสิริพัฒนาขึ้นเพื่อให้ลูกบ้านติดตามข่าวสารและติดต่อกับโครงการหรือนิติบุคคลได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นติดตามข่าวสารจากโครงการ ส่งข้อความติดต่อนิติบุคคล ระบบรับแจ้งเตือนเมื่อมีพัสดุมา การบริหารจัดการค่าส่วนกลาง รวมถึงการแจ้งซ่อมและตรวจสอบสถานะการแจ้งซ่อม เป็นต้น
โดย Sansiri Home Service Application ยังมีภาษาให้เลือกใช้ทั้ง ไทย อังกฤษจีนและญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ยังมีฟังก์ชัน ONLINE SHOPPING By SB FURNITURE เพื่อให้ลูกบ้านช็อปปิ้งและตกแต่งบ้านได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีลูกบ้านใช้บริการแล้วกว่า 20,000 ราย
สำหรับโครงการแรกที่แสนสิริ ได้นำน้องแสนดีไปให้บริการคือ โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับ ที่ดีมากจากลูกบ้าน โดยแสน-สิริก็มีแผนพัฒนานำไป ใช้ในโครงการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
Sansiri AI Box
อีกทั้งแสนสิริ ยังได้พัฒนา “Sansiri AI Box” ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถรับการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งแสนสิริได้ร่วมพัฒนากับบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านไอทีผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Amazon.com และบริษัท เดลิเทค จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีบนคลาวด์
โดยระบบ Sansiri AI Box จะเชื่อมต่อกับทั้งระบบ Home Automation เพื่ออำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นการเช็กข่าวประจำวัน ตรวจสอบสภาพอากาศ สภาพการจราจร รวมถึงการเชื่อมต่อความบันเทิง สามารถฟังเพลงไทย รับคลื่นวิทยุในประเทศไทยได้
รวมไปถึงการสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆภายในบ้านด้วย อาทิ การเปิด-ปิดไฟ เครื่องปรับอากาศ และโทรทัศน์ ฯลฯ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับ Sansiri Home Service Application ได้อีกด้วย ก็จะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีผู้ช่วยได้จองพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการนั้นๆ เช่น จองห้องเล่นโยคะ ห้องดูหนัง หรือสั่งให้แสนดีนำพัสดุมาส่งที่ห้อง เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้งานสามารถสั่งการทำงานไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของห้องก็ตาม
อย่างไรก็ตาม Sansiri AI Box จะนำร่องให้บริการตามฟังก์ชั่นที่กล่าวไป เพื่อให้ลูกบ้านได้รับความสะดวกสบายสมบูรณ์แบบภายในปี 2561 แน่นอน
ล็อกเกอร์อัจฉริยะจาก “เอพี”
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงด้านการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่อยู่อาศัย มีดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบาย ซึ่งเอพีเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงแค่ด้านงานออกแบบ แต่ใส่ใจเรื่องการนำนวัตกรรมใหม่ๆมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์เพื่อการอยู่อาศัย
ล่าสุดได้พัฒนา ล็อกเกอร์อัจฉริยะ “Smart POD” ที่พร้อมใช้งานจริงรายแรกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทย โดยเป็นการร่วมพัฒนากับ บริษัทอินฟินิท เทคโนโลยี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรม
โดยการคิดพัฒนาล็อกเกอร์อัจฉริยะนี้ เกิดขึ้นจากการที่เอพีจะมีทีมดีไซน์เนอร์ลงพื้นที่ทำการสำรวจ วิจัย รับฟังปัญหาจากลูกบ้านโดยตรง ซึ่งก็ไปพบว่าการมาของเทคโนโลยีโดยเฉพาะเรื่อง IoT (Internet of Things) ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของคนรุ่นใหม่ ที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม โดยจะมีพฤติกรรมชอบซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้น
แต่การจัดส่งสินค้าต่อไปยังลูกบ้านทุกวันนี้ ยังไม่ได้รับการออกแบบให้เอื้อต่อพฤติกรรมนี้เท่าที่ควร ซึ่งก็ทำให้ห้องนิติบุคคลมีกล่องพัสดุกองค้างอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากตัวลูกบ้านเองไม่ทราบว่าพัสดุส่งมาถึงแล้ว หรืออาจจะลืมว่าสั่งไปก็มี
สิ่งนี้ก็เป็นที่มาให้ทาง “เอพี” คิดพัฒนา Smart POD ขึ้นมา โดยนวัตกรรมการรับ-ส่งสินค้าผ่านล็อกเกอร์อัจฉริยะนี้ จะทำให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถเข้าถึงการใช้งานด้วยตนเองได้ตลอดเวลาโดยผู้อยู่อาศัยสามารถรับของได้ในเวลาที่ตนเองสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง เกิดความรวดเร็วง่าย สะดวกสบาย
ทั้งนี้ ระบบนี้ยังมั่นใจได้ในความปลอดภัย 100% เนื่องจากผู้ที่นำพัสดุมาส่ง จะต้องใช้บัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนในการดำเนินการเข้าระบบฝากของ พร้อมระบุเลขห้อง และเบอร์โทรศัพท์ของผู้อยู่อาศัย หลังจากนั้นระบบจะส่งข้อความไปยังสมาร์ทโฟนของผู้รับ พร้อมพาสเวิร์ด และ QR Codeเพื่อ นำมาสแกนรับพัสดุด้วยตนเอง
งานนี้เอพีก็ขอนำร่องติดตั้งประเดิมก่อน 4 โครงการ คือ ไลฟ์ปิ่นเกล้า, ไลฟ์ สุขุมวิท 48, ริทึ่ม รางน้ำ และแอสปาย เอราวัณ ซึ่งก็มีแผนเตรียมติดตั้งในทุกโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ของเอพีจากนี้ต่อไปอีกด้วย
“บ้านรู้ใจ” ตอบโจทย์ ชีวิตคนเมือง
ด้านบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก็มีการพัฒนาแพลตฟอร์มแห่งการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ใช้ชื่อว่า “Baan Rue Jai Platform” (บ้านรู้ใจ) ที่พัฒนาขึ้นตามหลัก Human–Centricอันเกิดจากการศึกษาปัญหาและความต้องการในการใช้ชีวิตประจำวันของลูกบ้านเป็นโจทย์สำคัญ
“บ้านรู้ใจ” เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมเอา Innovations และ Solutions จากที่พัฒนาโดยบริษัทเอสซีเอง และจากพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยมีเป้าหมายให้การอยู่อาศัยของลูกบ้านสมาชิกเอสซี แอสเสท สะดวกสบายขึ้น ปลอดภัยขึ้น มีเวลาให้เรื่องที่สำคัญในชีวิตมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงเมื่ออยู่อาศัยภายในบ้าน แต่เมื่อเดินทางออก
นอกบ้านด้วยเช่นกัน
สำหรับเฟสแรกเอสซี แอสเสท ได้ร่วมมือกับผู้นำด้านเครือข่ายดิจิทัลของไทย “เอไอเอส” ด้วยเหตุเพราะแพลตฟอร์มการอยู่อาศัยที่เชื่อมโยงต่อกันอย่างบ้านรู้ใจนี้ จะสำเร็จไม่ได้หากขาดตัวแปรสำคัญด้านโครงข่ายเทคโนโลยีดิจิทัลคุณภาพสูงจากเอไอเอส
ซึ่งหากแพลตฟอร์ม “บ้านรู้ใจ” เสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็จะเป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน คือ IoT, Big Data, Cloud Computing และ AI จะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพสูงพร้อมเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัดร่วมไปกับการพัฒนาของเมืองในอนาคต
สำหรับฟีเจอร์แรกของบ้านรู้ใจ ที่เปิดตัวไปแล้วนั้นคือฟีเจอร์ “Baan Rue Jai Smart Home” ซึ่งเป็นการร่วมพัฒนาของเอสซี แอสเสท และเอไอเอส โดยเป็นระบบที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆในบ้านผ่านอินเตอร์เน็ต ด้วยการนำเทคโนโลยี “IoT” (Internet of Things) เข้ามาช่วยตรวจสอบและประเมินผล เพื่ออำนวยความสะดวกการใช้งานภายในบ้านผ่าน Mobile Application
โดยสามารถควบคุมและสั่งการอัตโนมัติ พร้อมตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ขณะเมื่ออยู่นอกบ้าน อาทิ ระบบสัญญาณกันขโมย การเปิด-ปิดไฟ, เปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น จึงช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้อยู่อาศัยได้โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของการอยู่อาศัยของครอบครัว และความปลอดภัยของข้อมูลทั้งภายในและภายนอกบ้าน ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งก็ได้ทดลองใช้แล้วที่โครงการเดอะเจนทริ พระราม9 (The Gentry Rama 9) วิลล่าหรู 3 ชั้น ซึ่งเร็วๆนี้ก็นำไปใช้ในโครงการอื่นๆเพิ่มด้วย
อย่างไรก็ตามในปีนี้และอนาคตต่อไปทางเอสซี แอสเสท ยังมีแผนที่จะร่วม Co-create ด้านนวัตกรรมและโซลูชั่นใหม่ๆ ร่วมกับ Strategic partner และ Startups อื่นๆเพิ่มเติมอีกด้วย
*********
งานนี้เห็นบรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ของไทย ต่างมุ่งมั่นแข็งขันพัฒนานำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันทันสมัย มาเติมเต็มมอบความสะดวกสบายเพื่อการใช้ชีวิตของลูกบ้านยุคดิจิทัล 4.0 กันขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา ซึ่งจากนี้ก็ต้องรอดูกันว่าจะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆที่ทำให้ต้องร้องว้าว!!!
Credit: ไทยรัฐออนไลน์